Deinfluencing เทรนด์ใหม่เตือนสติสายช้อป
เคยได้ยินวลี “ของมันต้องมี” กันไหมเอ่ย ชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านหูกันมาบ้างใช่ไหม แต่รู้ไหมคะว่าตอนนี้เทรนด์เริ่มเปลี่ยนแล้ว จาก “ของมันต้องมี” กลายเป็น “ของไม่ต้องมีก็ได้” ฟังดูแปลกใช่ไหม? ทำไมจู่ๆ ของไม่ต้องมีก็ได้ มันเป็นเทรนด์จริงๆ เหรอ? ถ้าอยากรู้ว่าต้นตอของเทรนด์นี้มาจากไหน แล้วเราจะร่วมเทรนด์นี้ได้ยังไง เราไปดูพร้อมกันเลย
เทรนด์ ของไม่ต้องมีก็ได้ คืออะไร
จริง ๆ แล้วเทรนด์นี้เป็นการเล่นคำกับวลีเดิมที่ฮิตอยู่ก่อนหน้านี้อย่าง “ของมันต้องมี” แต่ตอนนี้กลับกลายเป็น “ของบางอย่างไม่ต้องมีก็ได้” หรือ “สินค้าบางอย่างไม่จำเป็นต้องซื้อ” ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ฮิตใน TikTok โดยเฉพาะแฮชแท็ก #deinfluencing ที่มีอินฟลูเอนเซอร์หลายคนเริ่มใช้กันมากขึ้น
เหตุผลก็คือ อินฟลูเอนเซอร์บางคนเคยรีวิวสินค้าว่ามันต้องมี เพียงเพราะได้รับค่าจ้างจากแบรนด์ แต่ตอนนี้มีกลุ่มอินฟลูฯ ที่ออกมาบอกตรง ๆ ว่า “สินค้าชิ้นนี้ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้” หรือ “มันไม่ได้ดีขนาดนั้น” เพื่อช่วยให้คนดูอย่างเรา ๆ มีสติและชะงักก่อนตัดสินใจซื้อสินค้านั่นเอง
เทรนด์ ของไม่ต้องมีก็ได้ ทำได้อย่างไรบ้าง
ขั้นแรกคือแยกแยะว่าสินค้าไหนจำเป็นและสินค้าไหนไม่จำเป็น บางอย่างอาจต้องใช้จริง แต่ต้องซื้อตอนนี้เลยไหม? เช่น เห็นรองพื้นลดราคา แต่ของที่บ้านยังเต็มขวด ซื้อมาตุนอาจหมดอายุก่อนจะได้ใช้ ลองคิดดูก่อนซื้อว่าของนี้ “ต้องมี” หรือ “ไม่ต้องมีก็ได้” เพื่อดึงสติก่อนช้อป
คิดไว้เสมอว่าเรา “อยากได้” หรือ “มันจำเป็น”
ถัดมาคือให้คิดว่าเราต้องการจริง ๆ หรือแค่อยากได้ บางอย่างจำเป็นจริง ๆ เช่น สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ครีมนวดผม ถึงราคาจะสูงหน่อยแต่เราใช้แน่นอน แบบนี้จัดอยู่ในหมวดจำเป็นได้เลย แต่ถ้าเป็นของที่ไม่มีแล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไร ก็จัดอยู่ในหมวดอยากได้เฉย ๆ ซึ่งของในหมวดนี้อาจไม่ต้องซื้อตอนนั้นเลย หรืออาจจะตัดใจได้ ลองคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนซื้อ
ทำรายรับ-รายจ่าย
เริ่มจากดูเงินเดือนหรือเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน จากนั้นคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือนและสำรองไว้ก่อน ต่อมาคำนวณค่ากินอยู่ แล้วแบ่งส่วนที่เหลือเป็นเงินเก็บ พร้อมจัดสรรบางส่วนสำหรับของจำเป็นหรือรางวัลให้ตัวเอง สำคัญคือแบ่งงบให้ชัดเจนและจดบันทึกรายรับรายจ่ายทุกครั้ง เพื่อดูว่าเราใช้เงินไปกับอะไรบ้าง
ประเมินงบของตัวเองก่อนซื้อของเสมอ
รู้จักจัดการเงินที่มีโดยแบ่งงบประมาณให้ชัดเจนว่าแต่ละส่วนจะใช้จ่ายอะไร เพื่อไม่ให้งบมันทับซ้อนกันหรือบานปลาย ก่อนซื้อของทุกครั้งคิดให้ดีว่ามันเกินงบไหม พอดีกับงบหรือเปล่า และจำเป็นจริง ๆ ไหม ถ้าไม่จำเป็นและเกินงบ ให้ตัดออกไปเลย แม้จะทำใจยาก แต่จะช่วยลดการซื้อของที่ไม่จำเป็นได้เยอะมาก
อย่าเชื่อรีวิวไปซะทุกอย่าง
สมัยนี้มีอินฟลูเอนเซอร์และนักรีวิวเยอะมาก บางคนรีวิวอย่างมีคุณภาพ รีวิวแต่ของดีจริง ๆ แต่บางคนก็รับเงินจากแบรนด์แล้วอวยอย่างเดียวก็มี ดังนั้นการรับสื่อสำคัญมาก พยายามดูให้หลากหลาย ฟังหลาย ๆ ความคิดเห็น คนนี้พูดแบบนึง คนนั้นอาจพูดต่างออกไป ยิ่งเราเจอรีวิวจากหลายแหล่ง ยิ่งทำให้เราเห็นคุณภาพสินค้าชัดเจนขึ้น
ก่อนจะซื้ออะไรให้เราลองทิ้งเวลาในการคิดก่อนซื้อ
วิธีง่าย ๆ คือ เวลาที่เราอยากได้อะไรแบบสุด ๆ แต่ก็ไม่อยากใช้จ่ายขนาดนั้น ให้เราลองทิ้งเวลาไว้ก่อน อย่าเพิ่งซื้อทันที ใช้ชีวิตตามปกติ กินข้าว อาบน้ำ ทำงาน หรือไปเรียน ถ้าเรายังคิดถึงของชิ้นนั้นตลอดเวลา แปลว่าเราอยากได้จริง ๆ แต่ถ้าผ่านไปแล้วแทบจะลืมไปเลย แสดงว่ามันอาจจะไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น
คอยสังเกตว่าของชิ้นนี้มันสมราคารึเปล่า
ข้อสุดท้ายที่ต้องคิดให้ดีมาก ๆ คือ “สินค้าชิ้นนี้ราคาเหมาะสมกับคุณภาพหรือเปล่า” ของดีไม่ได้แปลว่าต้องแพง และของแพงก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป อย่ายึดติดว่าของแพงจะมีคุณภาพดี ให้เราพิจารณาความเหมาะสมด้วยว่าราคานั้นคุ้มค่ากับคุณภาพหรือวัสดุที่ใช้ผลิตหรือไม่ เพราะสมัยนี้มีสินค้าที่ Overpriced หรือราคาแพงเกินจริงอยู่เยอะ ถ้าไม่คอยเช็กก็อาจโดนเอาเปรียบจากแบรนด์ต่าง ๆ ได้
แหล่งที่มา : sistacafe.com